Customer Journey 5 Stages สรุปเข้าใจง่าย พร้อมวิธีวางแผนการตลาด

เวลาดูการตลาด ผมไม่ค่อยเริ่มที่แอด ไม่เริ่มที่คอนเทนต์ด้วยซ้ำ
ผมเริ่มจากคำถามเริ่มต้นจุดเดียวตรง ๆ ว่า

“ลูกค้าของแบรนด์เดินทางกันยังไง ตั้งแต่ยังไม่รู้จัก จนกลายเป็นคนบอกต่อ?”

ตรงนี้แหละที่ Customer Journey 5 ขั้น เข้ามามีบทบาท
มันไม่ใช่ทฤษฎีสวย ๆ แต่คือ “แผนที่” ที่ช่วยให้เราเลิกยิงแอดสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วหันมาทำการตลาดแบบมีเหตุผล

ผมจะพาไล่ทีละขั้น
จากประสบการณ์ที่ได้ลอง ปรับ ล้ม แล้วก็ลุกมาหลายรอบ
ตั้งแต่ขั้นที่ลูกค้ายังไม่รู้ว่าเราคือใคร
จนถึงวันที่เขากลายเป็นคนบอกต่อแบรนด์ให้เราแบบฟรี ๆ

Customer Journey คืออะไรในภาษาคนธรรมดา

นิยามบนเว็บใหญ่ ๆ จะบอกคล้ายกันว่า

Customer Journey คือ “ภาพรวมของประสบการณ์ทุกจุดที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างใช้ ไปจนถึงหลังซื้อ”

พูดแบบภาษาชาวเน็ตกว่านั้น

  • มันคือ “เรื่องราว” ที่ลูกค้าเดินผ่าน
  • ตั้งแต่เห็นเราในฟีดครั้งแรก
  • เข้าเว็บ ลองกดดูของ
  • ตัดสินใจซื้อ
  • ใช้ของจริง
  • จนถึงวันที่เขาเล่าเรื่องแบรนด์เราให้เพื่อนฟัง

ความสำคัญคือ ทุกจุดที่ลูกค้าเจอเรา เรียกว่า Touchpoint
และทุกจุดมีโอกาสทำให้รัก หรือเลิกสนใจได้พอ ๆ กัน

หลายที่ใช้ชื่อไม่เหมือนกัน แต่โครงจะคล้ายกันคือ 5 สเต็ปหลักแบบนี้

  1. Awareness การรับรู้
  2. Consideration การพิจารณา
  3. Purchase (หรือ Decision) การตัดสินใจซื้อ
  4. Retention (Loyalty) การใช้ซ้ำ / การกลับมาซื้อซ้ำ
  5. Advocacy การบอกต่อ / การเป็นแฟนประจำ

โมเดล 5 ขั้นแบบนี้ใช้กันทั้งในบทความวิชาการและบริษัทใหญ่ ๆ เพราะมันครอบคลุมเส้นทางหลักของลูกค้าส่วนใหญ่แล้ว

จุดที่น่าสนใจคือ
3 ขั้นแรก = ก่อนซื้อ และ 2 ขั้นท้าย = หลังซื้อ

หลายธุรกิจโฟกัสแค่ 3 ขั้นแรก แล้วก็สงสัยว่าทำไมยอดขายไม่โตแบบยั่งยืนซักที

ก่อนลงรายละเอียด ขอให้เห็นภาพกว้าง ๆ ก่อน

  • ขั้นที่ 1 ลูกค้ายังไม่รู้จักเรา แต่เริ่ม “มองเห็นชื่อแบรนด์” จากที่ไหนสักแห่ง
  • ขั้นที่ 2 เขาเริ่มเปรียบเทียบ ค้นข้อมูล ถามเพื่อน ดูรีวิว
  • ขั้นที่ 3 เขาตัดสินใจ “จ่ายเงิน” หรือไม่
  • ขั้นที่ 4 เขาใช้สินค้าหรือบริการ แล้วตัดสินใจว่าจะกลับมาซ้ำไหม
  • ขั้นที่ 5 ถ้าประทับใจมากพอ เขาจะ “เล่าแทนเรา”

หน้าที่ของคนทำการตลาดคือ

ใช้คอนเทนต์ ช่องทาง และประสบการณ์ที่ออกแบบดี
พาลูกค้าไหลจากขั้นหนึ่ง ไปอีกขั้นหนึ่ง ให้ลื่นที่สุด

ทีนี้มาดูทีละขั้นแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างและสิ่งที่ควรโฟกัสจริง ๆ

ขั้นที่ 1 Awareness ช่วงที่ลูกค้าเริ่มเห็นหน้าเรา

นี่คือช่วงที่ลูกค้ายังไม่รู้จักแบรนด์ ไม่รู้ว่าเราขายอะไร และยังไม่ได้มีความต้องการชัดเจนด้วยซ้ำ

หน้าที่ของเราคือ

  • ทำให้เขา “สังเกตเห็น” ท่ามกลางทุกอย่างบนฟีด
  • และรู้แบบคร่าว ๆ ว่าเราเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร

ลูกค้าทำอะไรในขั้น Awareness

  • เลื่อนฟีดเจอโพสต์เรา
  • เห็นโฆษณา
  • ได้ยินคนพูดถึงชื่อแบรนด์
  • เดินผ่านหน้าร้าน เห็นป้าย

ธุรกิจควรทำอะไรในขั้นนี้

  1. กำหนดภาพจำให้ชัด
    อยากให้คนติดภาพเราในหัวว่าอะไร
    “โรงเรียนเทรดที่อธิบายเข้าใจง่าย”
    “คาเฟ่สายทำงาน”
    “แบรนด์สกินแคร์สายอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย”

  2. “โรงเรียนเทรดที่อธิบายเข้าใจง่าย”
  3. “คาเฟ่สายทำงาน”
  4. “แบรนด์สกินแคร์สายอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย”
  5. เข้าไปอยู่ใน “ที่ที่เขาอยู่จริง ๆ”
    กลุ่มเป้าหมายเล่น TikTok เยอะ ก็เน้นสั้น กระแทก
    ถ้าอยู่บน YouTube ก็คอนเทนต์ยาวขึ้น อธิบายลึกขึ้น

  6. กลุ่มเป้าหมายเล่น TikTok เยอะ ก็เน้นสั้น กระแทก
  7. ถ้าอยู่บน YouTube ก็คอนเทนต์ยาวขึ้น อธิบายลึกขึ้น
  8. เน้นเล่าเรื่อง ไม่เน้นขายของ
    เป้าหมาย Awareness คือ ให้จำว่า “เราเป็นใคร” ไม่ใช่ให้ซื้อทันที

KPI ที่ดูได้ เช่น Reach, Impressions, Video Views, Brand Search เพิ่มขึ้น

ขั้นที่ 2 Consideration ลูกค้าเริ่มชั่งใจและเปรียบเทียบ

เมื่อเขารู้แล้วว่า “เราคือใคร ทำอะไร”
ขั้นต่อมาคือ เขาจะเริ่มถามตัวเองว่า

“ถ้าต้องแก้ปัญหานี้ ฉันมีตัวเลือกอะไรบ้าง”

เขาไม่ได้มองแค่เรา เขามองคู่แข่งด้วย นี่คือช่วงที่คอนเทนต์ลึก ๆ มีพลังที่สุด

ลูกค้าทำอะไรในขั้น Consideration

  • เสิร์ช Google เทียบหลายแบรนด์
  • อ่านรีวิวใน Pantip หรือ TikTok
  • ถามเพื่อน ถามในกลุ่ม
  • เข้าเว็บเรา–เว็บคู่แข่ง ดูรายละเอียด เปรียบราคา

ธุรกิจควรทำอะไรในขั้นนี้

  1. สร้างคอนเทนต์ที่ช่วย “ตัดสินใจ” ไม่ใช่แค่ “ให้ความรู้”ตัวอย่างเช่น
    รีวิวแบบจริงจัง
    เปรียบเทียบแพ็กเกจ
    เคสสตัดิตัวอย่างลูกค้าจริง
    FAQ ปัญหายอดฮิต

  2. รีวิวแบบจริงจัง
  3. เปรียบเทียบแพ็กเกจ
  4. เคสสตัดิตัวอย่างลูกค้าจริง
  5. FAQ ปัญหายอดฮิต
  6. ใส่ Social Proof ให้ชัดเจน
    รีวิวจริงจากลูกค้า
    ตัวเลขความสำเร็จ
    คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

  7. รีวิวจริงจากลูกค้า
  8. ตัวเลขความสำเร็จ
  9. คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
  10. ใช้ Remarketing ไล่ดูแลคนที่เคยสนใจแล้วคนที่เคยเข้าเว็บ เคยกดดู VDO เรา ถือว่าสนใจแล้ว
    ถ้าตามเขากลับด้วยแอดที่ตอบข้อสงสัย เขาจะขยับเข้าใกล้การซื้อเร็วขึ้น

สิ่งสำคัญคือ อย่าพยายาม “ปิดการขายทันที” กับคนที่ยังอยู่ในช่วงคิด
แต่ช่วยให้เขามีข้อมูลพอจะตัดสินใจ

ขั้นที่ 3 Purchase / Decision จุดตัดสินใจว่าเงินจะออกจากกระเป๋าใคร

มาถึงจุดที่หลายธุรกิจคิดว่าคือ “ปลายทาง”
แต่จริง ๆ แล้วเป็นแค่ “ครึ่งทางของ Journey” เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ขั้นนี้คือจุดที่เงินไหล
และเป็นจุดที่ระบบไม่พร้อมบ่อยที่สุด

ลูกค้าทำอะไรในขั้น Purchase

  • กด Add to cart
  • ทักแชทถามราคาและวิธีสั่ง
  • ขอใบเสนอราคา
  • จองคิว นัดวันใช้บริการ
  • ใส่ข้อมูลบัตรเครดิต / โอนเงิน

อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขั้นนี้ ทำให้ลูกค้าหายไปได้ง่ายมาก

ปัญหาที่เจอบ่อยในโลกจริง

  • แชทไปแล้วแอดมินตอบช้า
  • ขั้นตอนการสั่งซื้อซับซ้อน กดหลายหน้า
  • ระบบจ่ายเงินล่ม
  • อยากถามก่อนโอน แต่ไม่มีช่องทางติดต่อที่ชัดเจน

ทั้งหมดนี้ทำให้เงินหลุดจากมือในวินาทีสุดท้าย

ธุรกิจควรทำอะไรในขั้น Purchase

  1. ทำให้การซื้อ “ง่ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”
    ฟอร์มกรอกสั้น
    ปุ่มชัดเจน
    รองรับหลายช่องทางชำระเงิน

  2. ฟอร์มกรอกสั้น
  3. ปุ่มชัดเจน
  4. รองรับหลายช่องทางชำระเงิน
  5. ให้คนรู้สึกว่า “ปลอดภัยและไม่เสี่ยง”
    ขึ้นสัญลักษณ์ความปลอดภัยของ Payment Gateway
    มีข้อมูลการติดต่อชัดเจน
    มีนโยบายคืนเงิน / เปลี่ยนสินค้าในกรณีที่มีปัญหา

  6. ขึ้นสัญลักษณ์ความปลอดภัยของ Payment Gateway
  7. มีข้อมูลการติดต่อชัดเจน
  8. มีนโยบายคืนเงิน / เปลี่ยนสินค้าในกรณีที่มีปัญหา
  9. สื่อสารแบบมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์แอดมินที่ตอบชัด ตรง ไม่เล่นตัว
    ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “โอนแล้วไม่หาย”

โมเดลใหม่ ๆ ของ Journey อย่าง McKinsey จะเน้นว่าประสบการณ์หลังซื้อมีผลต่อการตัดสินใจครั้งถัดไปมากกว่าที่คิด ดังนั้น ขั้น Purchase ที่ดีคือสะพานไปสู่ความภักดี ไม่ใช่จบแค่การโอนเงิน

ขั้นที่ 4 Retention / Loyalty ช่วงที่ลูกค้าขอเลือก “อยู่ต่อหรือพอแค่นี้”

หลายแบรนด์เลี้ยงลูกค้าเหมือนแขก VIP ตอนก่อนซื้อ
แต่หลังจากจ่ายแล้วก็ปล่อยหายไปเฉย ๆ

ทั้งที่ในแง่ตัวเลข
ลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อซ้ำ มักสร้างกำไรมากกว่าลูกค้าใหม่เสมอ

ลูกค้าทำอะไรในขั้น Retention

  • ใช้สินค้า/บริการจริง
  • เจอปัญหา ใช้ไม่เป็น หรือไม่เข้าใจ
  • ตัดสินใจว่าจะซื้อซ้ำ หรือเปลี่ยนแบรนด์

จุดนี้ลูกค้าไม่ได้ต้องการโปรโมชั่นอย่างเดียว
เขาต้องการ “รู้สึกว่าถูกดูแล”

ธุรกิจควรทำอะไรในขั้น Retention

  1. Onboarding ให้ดีตั้งแต่วันแรก
    ส่งคู่มือการใช้งานแบบเข้าใจง่าย
    มีวิดีโอสั้นสอนใช้
    มีคนตอบคำถามได้จริงเวลาติดขัด

  2. ส่งคู่มือการใช้งานแบบเข้าใจง่าย
  3. มีวิดีโอสั้นสอนใช้
  4. มีคนตอบคำถามได้จริงเวลาติดขัด
  5. สร้างช่องทางพูดคุยต่อเนื่อง
    กลุ่มปิดใน Line / Facebook
    ระบบ Ticket หรือ Live Chat
    การส่งอีเมลอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ

  6. กลุ่มปิดใน Line / Facebook
  7. ระบบ Ticket หรือ Live Chat
  8. การส่งอีเมลอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ
  9. ให้เหตุผลดี ๆ ในการ “กลับมาซื้อซ้ำ”
    ส่วนลดสำหรับลูกค้าเก่า
    สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก
    ของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าเขาจริง ๆ

  10. ส่วนลดสำหรับลูกค้าเก่า
  11. สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก
  12. ของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าเขาจริง ๆ

Retention ไม่ใช่แค่การส่งข้อความขายของซ้ำ
แต่คือการช่วยให้ลูกค้ามองเห็นว่า การอยู่กับเรา “คุ้มกว่าเปลี่ยนไปหาคนอื่น”

ขั้นที่ 5 Advocacy จากลูกค้าธรรมดา กลายเป็นคนบอกต่อ

ขั้นสุดท้ายคือจุดที่ผมชอบที่สุด
เพราะตอนนี้เราไม่ได้เป็นคน “พูดถึงตัวเอง” อีกต่อไป

ลูกค้าต่างหากที่พูดแทน

ลูกค้าทำอะไรในขั้น Advocacy

  • รีวิวให้โดยไม่ต้องขอ
  • แชร์โพสต์ของเรา
  • แนะนำเพื่อนเข้ามาซื้อ
  • ปกป้องแบรนด์ตอนมีคนดราม่า

นี่คือทรัพย์สินที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน แต่ใช้เวลาสร้าง

ธุรกิจควรทำอะไรในขั้น Advocacy

  1. ทำให้ง่ายต่อการบอกต่อ
    มีลิงก์แชร์ง่าย ๆ
    มีโปรชวนเพื่อนแล้วได้สิทธิ์เพิ่ม
    ใช้ระบบ Referral หรือ Affiliate

  2. มีลิงก์แชร์ง่าย ๆ
  3. มีโปรชวนเพื่อนแล้วได้สิทธิ์เพิ่ม
  4. ใช้ระบบ Referral หรือ Affiliate
  5. ขอบคุณและให้คุณค่าคนที่ช่วยพูดถึงเรา
    ทักไปขอบคุณส่วนตัว
    มอบสิทธิ์พิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ
    ดึงมาเป็น KOC / Community Leader

  6. ทักไปขอบคุณส่วนตัว
  7. มอบสิทธิ์พิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ
  8. ดึงมาเป็น KOC / Community Leader
  9. เอาเสียงลูกค้ามาขยายต่ออย่างจริงใจ
    ตัดรีวิวมาทำคอนเทนต์
    ใช้ Story ของลูกค้าเป็นเคสสตัดดี

  10. ตัดรีวิวมาทำคอนเทนต์
  11. ใช้ Story ของลูกค้าเป็นเคสสตัดดี

หลายงานวิจัยด้าน Customer Experience ชี้ตรงกันว่า เสียงบอกต่อของลูกค้ามีพลังอย่างมากต่อการดึงลูกค้าใหม่ และเป็นสัญญาณว่าประสบการณ์ตลอด Journey ทำมาได้ดีจริง ๆ 

Customer Journey Map คืออะไร และควรมีอะไรบ้าง

เวลาเข้าไปจัดเวิร์กช็อป ผมจะให้ทีมทำ Customer Journey Map
ไม่ต้องสวยแบบโปสเตอร์ แค่เห็นภาพก็พอ

โดยหลักแล้ว Journey Map คือ

แผนภาพที่วาดให้เห็นทุกขั้นตอนที่ลูกค้าเดินผ่าน ทั้งสิ่งที่เขาทำ รู้สึก และคิด เมื่อปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เรา 

สิ่งที่ควรอยู่ใน Customer Journey Map

  • Persona ของลูกค้า: เขาเป็นใคร มีเป้าหมายอะไร
  • 5 ขั้นของ Journey: Awareness, Consideration, Purchase, Retention, Advocacy
  • Action: ในแต่ละขั้นเขาทำอะไร
  • Touchpoint: เขาเจอเราผ่านช่องทางไหน
  • Pain point: จุดไหนที่เขาหงุดหงิดหรือหลุดออกจาก Journey
  • Opportunity: จุดไหนที่เรายังพัฒนาได้

แค่ทีมมานั่งวาดภาพเดียวให้จบ
หลายธุรกิจก็เริ่มเห็นแล้วว่า

  • เงินหายตรงไหน
  • ลูกค้าหายตรงจุดไหน
  • เราควรลงทุนที่ขั้นไหนก่อน

ตัวอย่างการใช้ Customer Journey 5 ขั้นกับธุรกิจจริง

ลองยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติเป็น “คอร์สออนไลน์สอนลงทุน”

  1. Awareness
    ลูกค้าเห็นคลิปสั้นใน TikTok ที่อธิบายเรื่องทองคำแบบเข้าใจง่าย
    เห็น Ads ที่ยิงมาจากเพจ

  2. ลูกค้าเห็นคลิปสั้นใน TikTok ที่อธิบายเรื่องทองคำแบบเข้าใจง่าย
  3. เห็น Ads ที่ยิงมาจากเพจ
  4. Consideration
    กดเข้าไปดูเพจ
    อ่านรีวิวศิษย์เก่า
    ดูคลิปยาวใน YouTube ที่อาจารย์วิเคราะห์กราฟให้ดู

  5. กดเข้าไปดูเพจ
  6. อ่านรีวิวศิษย์เก่า
  7. ดูคลิปยาวใน YouTube ที่อาจารย์วิเคราะห์กราฟให้ดู
  8. Purchase
    คลิกเข้า Landing Page
    อ่านรายละเอียดคอร์ส ตารางเรียน ราคา
    กดปุ่มสมัคร เติมข้อมูล จ่ายผ่านบัตร

  9. คลิกเข้า Landing Page
  10. อ่านรายละเอียดคอร์ส ตารางเรียน ราคา
  11. กดปุ่มสมัคร เติมข้อมูล จ่ายผ่านบัตร
  12. Retention
    ได้รับอีเมลยืนยัน + วิธีเข้าเรียน
    มีทีมงานคอยตอบคำถามในกลุ่ม Line
    หลังจบคอร์ส มีคลิปเสริมและ Q&A พิเศษให้

  13. ได้รับอีเมลยืนยัน + วิธีเข้าเรียน
  14. มีทีมงานคอยตอบคำถามในกลุ่ม Line
  15. หลังจบคอร์ส มีคลิปเสริมและ Q&A พิเศษให้
  16. Advocacy
    นักเรียนที่พอใจมาก ๆ เขียนรีวิวให้
    แคปหน้าจอพอร์ตตัวเองแล้วแท็กเพจ
    แนะนำเพื่อนให้มาลงคอร์สรุ่นถัดไป

  17. นักเรียนที่พอใจมาก ๆ เขียนรีวิวให้
  18. แคปหน้าจอพอร์ตตัวเองแล้วแท็กเพจ
  19. แนะนำเพื่อนให้มาลงคอร์สรุ่นถัดไป

เมื่อวาดออกมาแบบนี้
เราเริ่มเห็นแล้วว่า

  • ถ้า Awareness ยังอ่อน คนก็ไม่เข้าสู่ Journey
  • ถ้า Purchase สะดุด นักเรียนจะหลุดตั้งแต่ยังไม่โอน
  • ถ้า Retention พัง ไม่มีใครบอกต่อ

เราจึงรู้ว่าจะต้องปรับขั้นไหนก่อน ไม่ใช่ไล่เพิ่มงบแอดไปเรื่อย ๆ

Customer Journey 5 ขั้น = เข็มทิศ ไม่ใช่กรอบตายตัว

Customer Journey 5 ขั้นไม่ได้บอกว่าลูกค้าทุกคนต้องเดินตามลำดับนี้เป๊ะ ๆ
ในโลกจริง ลูกค้าอาจกระโดดข้ามขั้น หรือวนลูปอยู่แค่บางขั้นก็ได้

แต่สิ่งที่โมเดลนี้ให้เราเสมอคือ

  • มุมมอง “ภาพรวม” แทนที่จะจ้องแค่ยอดขายเดือนนี้
  • ภาษากลางให้ทีมการตลาด เซลส์ และฝ่ายบริการคุยกันรู้เรื่อง
  • Check-list ว่าเราดูแลลูกค้าครบทุกจุดสัมผัสหรือยัง

สุดท้ายแล้ว

แบรนด์ที่เข้าใจ Customer Journey ดีกว่า
ไม่ได้ชนะเพราะยิงแอดเก่งกว่า
แต่ชนะเพราะ “เข้าใจคน” ลึกกว่า และออกแบบประสบการณ์ได้ตรงกว่า

ถ้าวันนี้ยังไม่เคยนั่งเขียน Journey ของแบรนด์ตัวเองเลย
แนะนำให้ลองเริ่มจากกระดาษ A4 หนึ่งใบ วาด 5 ขั้น แล้วเขียนตามความจริง
ไม่ต้องสวย

แค่ทำให้เรื่องที่เคย “เดา” กลายเป็นสิ่งที่ “เห็น”
ตรงนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นของการตลาดที่มีเหตุผล และมีทิศทางจริง ๆ

Hot this week

4P vs 7P สรุปจบใน 1 ตอน

บทความนี้พาไล่ตั้งแต่ 4P ดั้งเดิมไปจนถึง 7P สำหรับธุรกิจบริการ อธิบายความต่าง จุดใช้ และยกตัวอย่างให้เห็นภาพ พร้อม Framework ง่าย ๆ ที่เอาไปเช็กธุรกิจของตัวเองได้ทันที

หมกมุ่นยอดฟอล ≠ หมกมุ่นยอดโอน

ปัญหาของเจ้าของธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่ คือเอาแต่ดีใจกับตัวเลขบนหน้าจอ แต่ไม่เคยมองยอดโอนในบัญชีแบบจริงจังฝั่งหมกมุ่นยอดฟอล– วัดแต่ยอดฟอล ไม่เคยมองว่าวันนี้ปิดกี่บิล – แจกของฟรี ไลฟ์แจก แถมไม่อั้น เอายอดตาม แต่คนตามเพราะของฟรี ไม่ได้ตามเพราะอยากซื้อ – ทำคอนเทนต์เอาไวรัล...

เช็กด่วน ก่อนลดราคาแบบไม่ลืมหูลืมตา

หลายธุรกิจขายไม่ออก ไม่ได้เพราะแพงไป แต่เพราะลูกค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ซื้อร้านนี้แล้วได้อะไรกลับไปกันแน่ก่อนจะกดลดราคา ลองเช็กตัวเองให้ครบ 5 ข้อนี้ก่อนลูกค้ารู้จริงไหมว่า “เราต่างจากเจ้าอื่นยังไง” หน้าเพจเต็มไปด้วยรูปสวย คำโปรยสวย แต่ไม่มีประโยคไหนตอบชัดว่า ทำไมต้องซื้อกับเรา ไม่ใช่ร้านข้าง ๆ ทุกโพสต์พูดแต่ของตัวเอง...

อ่านโพสต์นี้ก่อนเลือก Keyword ไม่งั้นเหนื่อยฟรีอีกหลายเดือน

คู่มือเลือก Keyword แบบง่ายแต่เฉียบสำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ ช่วยลดเวลาหลงทาง และเพิ่มโอกาสติดอันดับ Google อย่างมีประสิทธิภาพ

อนาคตของค้าปลีกเจ้าใหญ่จะเป็นแบบไฮบริดจริงหรือ? มองมุมแรกของโมเดล Makro x Lotus’s Mall

โลกค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจากการช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และหน้าร้าน แนวโน้มสำคัญคือ "ค้าปลีกแบบไฮบริด" ที่ประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์หลอมรวมกัน รายงานนี้จะพาไปสำรวจตัวอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือ โมเดล Makro...

Topics

4P vs 7P สรุปจบใน 1 ตอน

บทความนี้พาไล่ตั้งแต่ 4P ดั้งเดิมไปจนถึง 7P สำหรับธุรกิจบริการ อธิบายความต่าง จุดใช้ และยกตัวอย่างให้เห็นภาพ พร้อม Framework ง่าย ๆ ที่เอาไปเช็กธุรกิจของตัวเองได้ทันที

หมกมุ่นยอดฟอล ≠ หมกมุ่นยอดโอน

ปัญหาของเจ้าของธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่ คือเอาแต่ดีใจกับตัวเลขบนหน้าจอ แต่ไม่เคยมองยอดโอนในบัญชีแบบจริงจังฝั่งหมกมุ่นยอดฟอล– วัดแต่ยอดฟอล ไม่เคยมองว่าวันนี้ปิดกี่บิล – แจกของฟรี ไลฟ์แจก แถมไม่อั้น เอายอดตาม แต่คนตามเพราะของฟรี ไม่ได้ตามเพราะอยากซื้อ – ทำคอนเทนต์เอาไวรัล...

เช็กด่วน ก่อนลดราคาแบบไม่ลืมหูลืมตา

หลายธุรกิจขายไม่ออก ไม่ได้เพราะแพงไป แต่เพราะลูกค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ซื้อร้านนี้แล้วได้อะไรกลับไปกันแน่ก่อนจะกดลดราคา ลองเช็กตัวเองให้ครบ 5 ข้อนี้ก่อนลูกค้ารู้จริงไหมว่า “เราต่างจากเจ้าอื่นยังไง” หน้าเพจเต็มไปด้วยรูปสวย คำโปรยสวย แต่ไม่มีประโยคไหนตอบชัดว่า ทำไมต้องซื้อกับเรา ไม่ใช่ร้านข้าง ๆ ทุกโพสต์พูดแต่ของตัวเอง...

อ่านโพสต์นี้ก่อนเลือก Keyword ไม่งั้นเหนื่อยฟรีอีกหลายเดือน

คู่มือเลือก Keyword แบบง่ายแต่เฉียบสำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ ช่วยลดเวลาหลงทาง และเพิ่มโอกาสติดอันดับ Google อย่างมีประสิทธิภาพ

อนาคตของค้าปลีกเจ้าใหญ่จะเป็นแบบไฮบริดจริงหรือ? มองมุมแรกของโมเดล Makro x Lotus’s Mall

โลกค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจากการช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และหน้าร้าน แนวโน้มสำคัญคือ "ค้าปลีกแบบไฮบริด" ที่ประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์หลอมรวมกัน รายงานนี้จะพาไปสำรวจตัวอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือ โมเดล Makro...

สร้าง Infographic สุดปัง สื่อสารข้อมูลเข้าใจง่ายแชร์ได้ไว

Infographic คือ การนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ ที่ช่วยย่อยข้อมูลเชิงซ้อน ให้ง่ายต่อการเข้าใจ แถมยังดูสวยงามน่ามอง บทความนี้ จะพาคุณไปเรียนรู้ วิธีสร้าง Infographic ให้ปัง พร้อมเคล็ดลับการออกแบบ และตัวอย่าง ที่น่าสนใจ

Google Search Console เครื่องมือวิเคราะห์ SEO ฟรี ที่ธุรกิจออนไลน์ต้องมี!

Google Search Console คือ เครื่องมือวิเคราะห์ SEO ฟรีจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์, วิเคราะห์ SEO, แก้ไขปัญหาทางเทคนิค, และปรับปรุงอันดับเว็บไซต์บน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยิง Email Marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วย 5 เครื่องมือ Email Marketing สุดล้ำ

อยากยิง Email Marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มยอดขาย และสร้าง Brand Loyalty ใช่ไหม? บทความนี้ มีคำตอบ! เราได้รวบรวม 5 เครื่องมือ Email Marketing สุดล้ำ พร้อมเทคนิคการเลือกใช้ และกลยุทธ์การยิง Email แบบมือโปร มาให้คุณแล้ว!
spot_img

Related Articles

Popular Categories

spot_imgspot_img
บทความก่อนหน้านี้