4P vs 7P สรุปจบใน 1 ตอน

เวลาไปบรรยายการตลาดให้เจ้าของธุรกิจหรือเด็กปี 1–2 ผมจะถามเล่น ๆ ว่า

“ใครเคยได้ยิน 4P ยกมือ”
“แล้ว 7P ล่ะ ต่างกันยังไง ใช้ตอนไหน”

เกือบทุกห้องเงียบครับ

ส่วนใหญ่ “ท่องได้แต่ใช้ไม่เป็น”
บางคนคิดว่า 7P คือเวอร์ชันใหม่แทนที่ 4P ไปแล้ว
บางคนใช้มั่ว เอาทั้ง 4P ทั้ง 7P มาใส่สไลด์แบบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่

บทความนี้ผมอยากทำให้เหมือน “คาบเดียวแล้วจบ”
อ่านแล้วเข้าใจภาพรวมว่า

  • 4P คืออะไร จริง ๆ แล้วคิดมาจากอะไร
  • 7P เพิ่มอะไรเข้ามา ทำไมถึงจำเป็นในยุคบริการและดิจิทัล
  • 4P vs 7P ต่างกันตรงไหน ใช้ยังไงไม่ให้มั่ว
  • ถ้าเราทำธุรกิจจริง จะเอา 4P/7P ไปใช้แบบลงมือได้ยังไง

ทั้งหมดเล่าในมุมคนทำจริง ใช้จริง ล้มจริง มาแล้วหลายรอบ

4P คืออะไร แกนดั้งเดิมของ Marketing Mix

ถ้าย้อนไปยุคเริ่มต้นของการตลาด แนวคิด “ส่วนประสมทางการตลาด Marketing Mix” เกิดจากการหาวิธีจัดการตัวแปรที่เราควบคุมได้รอบ ๆ สินค้า เพื่อให้ขายได้จริงในตลาด

แกนดั้งเดิมของ Marketing Mix คือ 4P

  • Product
  • Price
  • Place
  • Promotion

ใช้กันมาตั้งแต่ยุค 1950s และยังเป็นพื้นฐานของทุกตำราการตลาดมาจนถึงตอนนี้

พูดง่าย ๆ 4P คือการตอบคำถาม 4 ข้อ

  1. เราขาย “อะไร”
  2. ขาย “ราคาเท่าไหร่”
  3. ไปขาย “ที่ไหน ช่องทางไหน”
  4. ทำยังไงให้ “คนรู้จักและตัดสินใจซื้อ”

Product – เราขายอะไรกันแน่

Product ไม่ใช่แค่ตัวสินค้า แต่คือ “คุณค่า” ที่ลูกค้าได้รับจริง

  • คุณภาพ
  • ฟีเจอร์
  • ดีไซน์
  • แพ็กเกจ
  • บริการหลังการขาย

ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในคำว่า Product ทั้งหมด

ตัวอย่างง่าย ๆ

  • ร้านกาแฟ: เมล็ดกาแฟ สูตรชง รสชาติ บรรยากาศในร้าน
  • สถาบันสอนเทรด: หลักสูตร เนื้อหา วิธีสอน กลุ่ม Line ซัพพอร์ต

เวลาออกแบบ Product ผมจะถามเสมอว่า

“ลูกค้าซื้ออะไรจากเราแน่ ๆ เขาซื้อแก้วกาแฟ หรือซื้อความรู้สึกตอนนั่งทำงานในร้าน?”

ถามคำนี้ชัด ๆ Product จะเริ่มชัดเอง

Price – เราตั้งราคายังไงให้คุ้มทั้งสองฝ่าย

Price ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ “กลยุทธ์การให้คุณค่าแลกกับเงิน”

  • ตั้งราคาเท่าไหร่
  • มีแพ็กเกจไหม
  • มีส่วนลดไหม
  • มีราคาโปรโมชั่นช่วงเปิดตัวไหม
  • ราคาเรายืนอยู่ตรงไหนบนตลาด (ถูก กลาง แพง)

ถ้าราคาต่ำกว่าคุณค่ามากไป ธุรกิจจะเหนื่อย
ถ้าราคาสูงเกินคุณค่าที่ลูกค้า “รู้สึก” ได้ เขาก็จะเดินหนี

งาน Price ที่ดีคือการบาลานซ์ระหว่าง

  • ต้นทุน + กำไรที่ธุรกิจอยู่ได้
  • คุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ได้จริงในใจเขาเอง

Place – เราอยู่ตรงไหนให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายที่สุด

ยุคก่อน Place คือ “สถานที่ขาย”
ยุคนี้ Place คือ “ช่องทางทั้งหมดที่ลูกค้าเข้าถึงเราได้”

  • หน้าร้าน
  • เว็บไซต์
  • Marketplace
  • Social commerce (Facebook, IG, TikTok Shop)
  • Partner / ดีลเลอร์

คำถามสำคัญคือ

“ลูกค้าของเรามักโผล่ที่ไหน แล้วเราจะไปยืนให้ถูกจุดได้ยังไง”

ธุรกิจที่ Place แข็ง ไม่จำเป็นต้องอยู่ทุกที่
แต่อยู่ “ถูกที่” และ “ถูกวิธี”

Promotion – ทำยังไงให้คนรู้จักและตัดสินใจ

Promotion คือทุกอย่างที่เกี่ยวกับการสื่อสารและกระตุ้นการซื้อ

  • โฆษณาออนไลน์
  • คอนเทนต์
  • โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม
  • อีเมล
  • กิจกรรมอีเวนต์
  • อินฟลูเอนเซอร์

Promotion ที่ดีไม่ใช่แค่เสียงดัง
แต่ต้อง

  • พูดกับ “กลุ่มที่ใช่”
  • ด้วย “ข้อความที่โดน”
  • ใน “เวลาและช่องทางที่เหมาะสม”

สรุปสั้น ๆ

4P คือมุมมองของธุรกิจที่มองออกไปหาลูกค้า
เราคุมสิ่งเหล่านี้ได้ และใช้มันในการออกแบบแผนการตลาด

7P คืออะไร – เมื่อโลกไม่ได้มีแค่ “สินค้า” แต่มี “ประสบการณ์บริการ”

พอโลกเริ่มขยับจากการขายสินค้า ไปสู่การขาย “บริการ” มากขึ้น
เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ร้านกาแฟ คอร์สเรียน ออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ

นักการตลาดก็พบว่า 4P เองยังไม่พอที่จะอธิบาย “ประสบการณ์ทั้งหมด” ที่ลูกค้าได้รับ

เลยต้องขยายเป็น 7P

คือ 4P เดิม + 3 ตัวใหม่

  • People
  • Process
  • Physical Evidence

หรือที่หลายตำราเรียกกันตรง ๆ ว่า “ส่วนประสมการตลาด 7Ps สำหรับธุรกิจบริการ”

People – คนที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ลูกค้า

People ไม่ได้หมายถึงแค่พนักงานหน้าร้าน
แต่คือ “ทุกคนที่ลูกค้าเจอ หรือมีผลต่อความรู้สึกของเขา”

  • พนักงานขาย
  • แอดมินตอบแชท
  • ครู / โค้ช / เทรนเนอร์
  • Call center
  • แม้กระทั่งเจ้าของแบรนด์ ถ้าออกหน้าสื่อเอง

ในธุรกิจบริการ People คือความแตกต่างสำคัญ

ร้านกาแฟ 2 ร้านเมนูเหมือนกัน ราคาใกล้กัน
แต่ร้านหนึ่ง บาริสต้ายิ้มเก่ง จำประจำได้ ทักทายด้วยชื่อ
อีกร้านหนึ่ง ทำแก้วเร็วแต่หน้าตึง

เราไม่ต้องถามเลยว่าลูกค้าจะกลับไปร้านไหน

Process – กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ก่อนซื้อจนหลังซื้อ

Process คือ “วิธีการทำงานเบื้องหลัง” ที่ลูกค้าอาจไม่เห็นทั้งหมด แต่ “รู้สึกได้”

  • ขั้นตอนการสั่งซื้อ
  • ความเร็วการตอบกลับ
  • ความง่ายของระบบจอง/สมัคร
  • วิธีจัดการปัญหา/เคลม
  • วิธีส่งมอบบริการในแต่ละขั้น

ในโลกออนไลน์ Process ยิ่งสำคัญ
เพราะลูกค้าเปลี่ยนใจได้ใน 3 วินาที

หน้าฟอร์มสมัครงง ๆ
ขั้นตอนโอนเงินยุ่งยาก
กว่าจะเข้ากลุ่ม Line ได้ต้องรอแอดมินหลายชั่วโมง

ทั้งหมดนี้ คือ Process ที่ทำลายยอดขายอย่างเงียบ ๆ

Physical Evidence – หลักฐานทางกายภาพที่จับต้องได้

ธุรกิจบริการมีปัญหาอย่างหนึ่งคือ

ลูกค้ามองไม่เห็นล่วงหน้า ว่าบริการจะดีจริงไหม

Physical Evidence เลยเป็น “หลักฐานจับต้องได้” ที่ช่วยยืนยัน

  • หน้าร้าน บรรยากาศ
  • ชุดยูนิฟอร์ม
  • เว็บไซต์ แอป โลโก้
  • รีวิวจริงจากลูกค้า
  • รูปก่อน–หลัง
  • ใบประกาศ ใบรับรองต่าง ๆ

ตัวอย่างง่าย ๆ

  • คลินิกเสริมความงาม ถ้าหน้าเพจดูไม่น่าเชื่อถือ รูปไม่ชัด รีวิวดูปลอม ลูกค้าก็ไม่กล้าเสี่ยง
  • คอร์สออนไลน์ ถ้าไม่มีรีวิวจริง ไม่มีตัวอย่างเนื้อหา ไม่มีภาพบรรยากาศการสอน คนก็จะเลื่อนผ่าน

Physical Evidence เลยเป็นตัว “จับต้องความน่าเชื่อถือ” ให้บริการที่จับต้องไม่ได้

4P vs 7P ต่างกันยังไงแบบเทียบกันชัดๆ ไปเลย

ถ้าพูดแบบภาษาตรง ๆ

  • 4P = มองจาก “ตัวธุรกิจ” ไปที่ “สินค้าในตลาด”
  • 7P = มองจาก “ประสบการณ์ของลูกค้า” ตั้งแต่ก่อนซื้อจนหลังซื้อ

4P จะเน้นคำถามว่า

  • เราขายอะไร
  • ขายเท่าไหร่
  • ขายที่ไหน
  • ทำยังไงให้คนรู้จัก

7P เพิ่มคำถามว่า

  • ใครอยู่หน้าบ้าน แบกภาพลักษณ์เราไว้
  • ระบบข้างในทำงานลื่นไหม หรือทำลูกค้าหงุดหงิด
  • มีอะไรจับต้องได้ ที่ทำให้ลูกค้า “เชื่อ” ว่าเราดีจริง

ในทางทฤษฎี 7P ถูกออกแบบมาเพื่อธุรกิจบริการโดยเฉพาะ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล การศึกษา การเงิน ฯลฯ ที่มีการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเยอะ และต้องพึ่งพาคน กระบวนการ และสภาพแวดล้อมมากเป็นพิเศษ

แต่ในทางปฏิบัติปัจจุบัน
แม้แต่ธุรกิจขายสินค้าเองก็เลี่ยง 7P ไม่ได้ เพราะทุกแบรนด์กำลังขาย “ประสบการณ์” พอ ๆ กับ “สินค้า”

ใช้ 4P เมื่อไหร่ ใช้ 7P เมื่อไหร่

ผมใช้กฎง่าย ๆ เวลาใช้สอน

ใช้ 4P เป็น “แกนหลัก” เสมอ

ไม่ว่าเราจะขายอะไร สินค้าหรือบริการ
4P คือโครงกระดูกที่ต้องมี

  • Product ไม่ชัด ที่เหลือจบตั้งแต่ต้น
  • Price ไม่เป็นเหตุเป็นผล ลูกค้าก็ลังเล
  • Place ไม่ตรงพฤติกรรมคนซื้อ ต่อให้ของดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเจอ
  • Promotion ไม่ตรงกลุ่ม เสียงดังแต่ไม่มีใครสนใจ

ใช้ 7P เมื่อธุรกิจมี “บริการ” และ “คน” เป็นหัวใจ

ถ้าอยู่ในธุรกิจแบบนี้ ผมจะให้ความสำคัญกับ 7P มาก ๆ

  • โรงแรม / ที่พัก
  • คลินิก / โรงพยาบาล
  • ร้านอาหาร / คาเฟ่
  • ธุรกิจการศึกษา คอร์สเรียน สถาบันติว
  • ที่ปรึกษา / โค้ช / เอเจนซี
  • ธุรกิจแพลตฟอร์มที่ต้องมีซัพพอร์ตลูกค้า

เพราะประสบการณ์ลูกค้าไม่ได้จบแค่ตอนจ่ายเงิน

ทุกแชทที่แอดมินตอบ
ทุกสายที่ Call center รับ
ทุกนาทีที่ลูกค้ารอระบบโหลด
ทุกเก้าอี้ที่เขานั่งรอคิว

ทั้งหมดคือ “สินค้า” ในมุมมองของลูกค้าเหมือนกัน

ธุรกิจแบบนี้ ถ้าคิดแค่ 4P จะไม่พอ ต้องใช้ 7P ครบชุด

ตัวอย่างเปรียบให้เห็นภาพ 4P vs 7P ในธุรกิจเดียวกัน

ลองสมมติธุรกิจเดียวกัน แล้วดูว่า 4P กับ 7P ต่างกันยังไง

ตัวอย่าง 1 ร้านกาแฟ Specialty

ถ้าคิดแบบ 4P

  • Product: เมล็ดกาแฟสายพันธุ์พิเศษ เมนู Signature ขนมจับคู่
  • Price: ราคาแก้วละ 90–140 บาท ตั้งตามคุณภาพและโลเคชัน
  • Place: เปิดในย่านออฟฟิศ ใกล้ BTS มี Grab / Line Man
  • Promotion: โปรเปิดร้าน ซื้อ 2 แถม 1, ยิงแอด Facebook, IG Reel

ถ้าเพิ่มมุม 7P

  • People: บาริสต้ารู้จริงเรื่องกาแฟ พูดคุยแนะนำได้ ไม่ใช่แค่รับออเดอร์
  • Process: สั่งหน้าบาร์ง่าย ใช้บิลคิวชัดเจน การรอไม่มั่ว
  • Physical Evidence: บรรยากาศร้าน การตกแต่ง แก้ว โลโก้ กลิ่นในร้าน เพลงที่เปิด

ลูกค้าบางคนกลับมาซ้ำ เพราะ “ฟีลทั้งหมด” มากกว่ารสชาติอย่างเดียว

ตัวอย่าง 2 คอร์สออนไลน์สอนเทรด

4P

  • Product: เนื้อหาเรียน 3 วัน, วิดีโอย้อนหลัง, Workbook
  • Price: 2,990 บาท, ผ่อน 0% ได้
  • Place: ใช้ Zoom, กลุ่มปิด Facebook, เว็บไซต์ขายคอร์ส
  • Promotion: ไลฟ์ขายคอร์ส, ยิงแอด, รีวิวจากศิษย์เก่า

7P

  • People: ทีมโค้ช, ทีมแอดมินกลุ่ม, คนตอบคำถามหลังคอร์ส
  • Process: สมัครง่าย มีระบบออกใบเสร็จอัตโนมัติ ส่งลิงก์เข้ากลุ่มทันที ไม่ต้องรอ
  • Physical Evidence: รีวิวจริง, คลิปบรรยากาศการสอน, ภาพผลงานนักเรียน, เอกสารประกอบที่ดาวน์โหลดได้

ที่ผมเห็นบ่อยคือ

คอร์สดี เนื้อหาดี แต่ Process และ People พัง
ลูกค้ารู้สึกโดนทิ้ง ความประทับใจหายหมด

7P จะช่วยให้เราไม่ลืมส่วนที่ลูกค้าสัมผัสจริงทุกจุด

วิธีใช้ 4P vs 7P แบบลงมือทำได้ทันที

ถ้าตอนนี้มีธุรกิจอยู่แล้ว หรือกำลังจะเริ่ม
ลองใช้ Framework นี้ดู ผมใช้เองกับหลายโปรเจกต์

ขั้นที่ 1  วาดตาราง 4P ก่อน

เขียนให้ครบ

  1. Product – เราขายอะไร ใครได้อะไรไปจากเรา
  2. Price – ตั้งราคาแบบไหน แพ็กเกจอะไร มีเหตุผลยังไง
  3. Place – ลูกค้าเจอเราที่ไหนบ้าง
  4. Promotion – เราสื่อสารกับเขาผ่านช่องทางไหน เรื่องอะไร

อย่าเพิ่งคิดเยอะ เขียนตามความจริงก่อน

ขั้นที่ 2  เติม 3P เพิ่ม ถ้าเป็นธุรกิจบริการ

ตอบให้ครบ

  1. People – ใครคือคนที่ลูกค้าจะเจอ เขาพร้อมแค่ไหน
  2. Process – ขั้นตอนการให้บริการตั้งแต่เห็นหน้าแบรนด์ครั้งแรกจนหลังจบการขาย
  3. Physical Evidence – มีอะไรจับต้องได้ยืนยันคุณภาพเรา

ตรงนี้มักเป็นจุดที่เปิดแผลใหญ่ที่สุด
เพราะหลายธุรกิจไม่เคยคิดเป็นระบบ

ขั้นที่ 3  มองจากมุมลูกค้า แล้ววงจุดแดง

ลองเปลี่ยนเก้าอี้ จากเจ้าของมาเป็นลูกค้า
ถามตัวเองว่า

  • ถ้าเราเป็นลูกค้า เราอยากได้อะไรเพิ่ม
  • จุดไหนใน 7P ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด
  • จุดไหนที่ทำให้เรารู้สึก “ว้าว” อยู่แล้ว ควรดันให้แรงขึ้น

จากนั้นวงกลมสีแดงในจุดที่ “เสี่ยงเสียลูกค้าง่ายที่สุด”
แล้วโฟกัสแก้ทีละจุด

ขั้นที่ 4 ใช้ 4P/7P เป็น Check-list ก่อนออกแคมเปญ

ก่อนปล่อยโปรโมชั่นใหม่ ยิงแอด หรือออกสินค้าใหม่
ผมจะไล่เช็กเสมอว่า

  • Product ตอบปัญหาชัดยัง
  • Price รับได้ทั้งคนซื้อทั้งคนขายไหม
  • Place พร้อมรองรับทราฟฟิกหรือยัง
  • Promotion ไม่สื่อสารผิดคนใช่ไหม
  • People พร้อมรับลูกค้าจริงไหม
  • Process ในหลังบ้านไม่ทำให้ลูกค้าหลุดไหม
  • Physical Evidence มีพอให้คนเชื่อใจไหม

งานการตลาดที่พังส่วนใหญ่ ไม่ได้พังเพราะคอนเทนต์
แต่เพราะ “บาง P ไม่พร้อม” ตั้งแต่แรก

แล้วสงสัยกันมั้ย? ทำไมยุคนี้ควรคิดแบบ 7P เป็น Default

ส่วนตัวผมเชื่อว่า ยุคนี้แบรนด์ที่ชนะไม่ได้ชนะเพราะ

  • โปรแรงที่สุด
  • ยิงแอดเก่งที่สุด
  • หรือมีฟีเจอร์เยอะที่สุด

แต่ชนะเพราะ “ประสบการณ์รวมทั้งหมด” ที่ลูกค้าได้รับ

4P ทำให้เราวางโครงกลยุทธ์สินค้าได้ดี
แต่ 7P ทำให้เรา “วางประสบการณ์ลูกค้าได้ครบ”

ไม่ว่าจะขายสินค้าอย่างเดียว หรือมีบริการด้วย
ลองคิดแบบ 7P ให้ชิน

  • ทุกคนในทีมคือ People
  • ทุกขั้นตอนทำงานคือ Process
  • ทุกอย่างที่ลูกค้าเห็น สัมผัส หรือเลื่อนผ่าน คือ Physical Evidence

เมื่อคิดแบบนี้
การตั้งคำถาม เวลาจะลองทำอะไรใหม่ ๆ กับธุรกิจ จะคมขึ้นเยอะ

ดังนั้น 4P vs 7P ไม่ใช่ท่อง เพื่อสอบ แต่เอาไว้ใช้เพื่อรอด

สรุปแบบสั้นที่สุด

  • 4P = Product, Price, Place, Promotion
  • 7P = 4P + People, Process, Physical Evidence

4P ทำให้เราขายของเป็น
7P ทำให้เราสร้างประสบการณ์ครบวงจร

เราไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง
เพราะในโลกจริง เวลาทำแผน ผมใช้ทั้ง 4P และ 7P ผูกกันเสมอ

สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การจำชื่อ P
แต่เป็นการตั้งคำถามให้ครบว่า

สินค้าใช่ไหม
ราคาโอเคไหม
ช่องทางพร้อมไหม
การสื่อสารชัดไหม
คนที่เจอลูกค้าพร้อมไหม
ระบบหลังบ้านลื่นไหม
หลักฐานความน่าเชื่อถือมีพอไหม

ถ้า 7 ข้อนี้ตอบได้อย่างไม่โกหกตัวเอง
การตลาดจะไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัว
แต่จะกลายเป็นแผนที่ชัด ๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจเดินต่อได้อย่างมั่นใจ

จบ 1 ตอน
แต่ถ้าเอาไปไล่เช็กจริง ๆ กับธุรกิจตัวเอง
รับรองว่าได้การบ้านกลับไปทำอีกเยอะเลยละครับ

Hot this week

Customer Journey 5 Stages สรุปเข้าใจง่าย พร้อมวิธีวางแผนการตลาด

Customer Journey 5 ขั้นคือแผนที่เส้นทางลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเห็นแบรนด์จนกลายเป็นคนบอกต่อ บทความนี้พาไล่ทีละสเต็ป ว่าลูกค้าคิดอะไร ทำอะไร และแบรนด์ควรออกแบบประสบการณ์แบบไหน เพื่อให้ทั้งยอดขายและความภักดีเติบโตไปพร้อมกัน

หมกมุ่นยอดฟอล ≠ หมกมุ่นยอดโอน

ปัญหาของเจ้าของธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่ คือเอาแต่ดีใจกับตัวเลขบนหน้าจอ แต่ไม่เคยมองยอดโอนในบัญชีแบบจริงจังฝั่งหมกมุ่นยอดฟอล– วัดแต่ยอดฟอล ไม่เคยมองว่าวันนี้ปิดกี่บิล – แจกของฟรี ไลฟ์แจก แถมไม่อั้น เอายอดตาม แต่คนตามเพราะของฟรี ไม่ได้ตามเพราะอยากซื้อ – ทำคอนเทนต์เอาไวรัล...

เช็กด่วน ก่อนลดราคาแบบไม่ลืมหูลืมตา

หลายธุรกิจขายไม่ออก ไม่ได้เพราะแพงไป แต่เพราะลูกค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ซื้อร้านนี้แล้วได้อะไรกลับไปกันแน่ก่อนจะกดลดราคา ลองเช็กตัวเองให้ครบ 5 ข้อนี้ก่อนลูกค้ารู้จริงไหมว่า “เราต่างจากเจ้าอื่นยังไง” หน้าเพจเต็มไปด้วยรูปสวย คำโปรยสวย แต่ไม่มีประโยคไหนตอบชัดว่า ทำไมต้องซื้อกับเรา ไม่ใช่ร้านข้าง ๆ ทุกโพสต์พูดแต่ของตัวเอง...

อ่านโพสต์นี้ก่อนเลือก Keyword ไม่งั้นเหนื่อยฟรีอีกหลายเดือน

คู่มือเลือก Keyword แบบง่ายแต่เฉียบสำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ ช่วยลดเวลาหลงทาง และเพิ่มโอกาสติดอันดับ Google อย่างมีประสิทธิภาพ

อนาคตของค้าปลีกเจ้าใหญ่จะเป็นแบบไฮบริดจริงหรือ? มองมุมแรกของโมเดล Makro x Lotus’s Mall

โลกค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจากการช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และหน้าร้าน แนวโน้มสำคัญคือ "ค้าปลีกแบบไฮบริด" ที่ประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์หลอมรวมกัน รายงานนี้จะพาไปสำรวจตัวอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือ โมเดล Makro...

Topics

Customer Journey 5 Stages สรุปเข้าใจง่าย พร้อมวิธีวางแผนการตลาด

Customer Journey 5 ขั้นคือแผนที่เส้นทางลูกค้า ตั้งแต่เริ่มเห็นแบรนด์จนกลายเป็นคนบอกต่อ บทความนี้พาไล่ทีละสเต็ป ว่าลูกค้าคิดอะไร ทำอะไร และแบรนด์ควรออกแบบประสบการณ์แบบไหน เพื่อให้ทั้งยอดขายและความภักดีเติบโตไปพร้อมกัน

หมกมุ่นยอดฟอล ≠ หมกมุ่นยอดโอน

ปัญหาของเจ้าของธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่ คือเอาแต่ดีใจกับตัวเลขบนหน้าจอ แต่ไม่เคยมองยอดโอนในบัญชีแบบจริงจังฝั่งหมกมุ่นยอดฟอล– วัดแต่ยอดฟอล ไม่เคยมองว่าวันนี้ปิดกี่บิล – แจกของฟรี ไลฟ์แจก แถมไม่อั้น เอายอดตาม แต่คนตามเพราะของฟรี ไม่ได้ตามเพราะอยากซื้อ – ทำคอนเทนต์เอาไวรัล...

เช็กด่วน ก่อนลดราคาแบบไม่ลืมหูลืมตา

หลายธุรกิจขายไม่ออก ไม่ได้เพราะแพงไป แต่เพราะลูกค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ซื้อร้านนี้แล้วได้อะไรกลับไปกันแน่ก่อนจะกดลดราคา ลองเช็กตัวเองให้ครบ 5 ข้อนี้ก่อนลูกค้ารู้จริงไหมว่า “เราต่างจากเจ้าอื่นยังไง” หน้าเพจเต็มไปด้วยรูปสวย คำโปรยสวย แต่ไม่มีประโยคไหนตอบชัดว่า ทำไมต้องซื้อกับเรา ไม่ใช่ร้านข้าง ๆ ทุกโพสต์พูดแต่ของตัวเอง...

อ่านโพสต์นี้ก่อนเลือก Keyword ไม่งั้นเหนื่อยฟรีอีกหลายเดือน

คู่มือเลือก Keyword แบบง่ายแต่เฉียบสำหรับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ ช่วยลดเวลาหลงทาง และเพิ่มโอกาสติดอันดับ Google อย่างมีประสิทธิภาพ

อนาคตของค้าปลีกเจ้าใหญ่จะเป็นแบบไฮบริดจริงหรือ? มองมุมแรกของโมเดล Makro x Lotus’s Mall

โลกค้าปลีกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต้องการสิ่งที่ดีที่สุดจากการช้อปปิ้งทั้งออนไลน์และหน้าร้าน แนวโน้มสำคัญคือ "ค้าปลีกแบบไฮบริด" ที่ประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์หลอมรวมกัน รายงานนี้จะพาไปสำรวจตัวอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือ โมเดล Makro...

สร้าง Infographic สุดปัง สื่อสารข้อมูลเข้าใจง่ายแชร์ได้ไว

Infographic คือ การนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ ที่ช่วยย่อยข้อมูลเชิงซ้อน ให้ง่ายต่อการเข้าใจ แถมยังดูสวยงามน่ามอง บทความนี้ จะพาคุณไปเรียนรู้ วิธีสร้าง Infographic ให้ปัง พร้อมเคล็ดลับการออกแบบ และตัวอย่าง ที่น่าสนใจ

Google Search Console เครื่องมือวิเคราะห์ SEO ฟรี ที่ธุรกิจออนไลน์ต้องมี!

Google Search Console คือ เครื่องมือวิเคราะห์ SEO ฟรีจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์, วิเคราะห์ SEO, แก้ไขปัญหาทางเทคนิค, และปรับปรุงอันดับเว็บไซต์บน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยิง Email Marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วย 5 เครื่องมือ Email Marketing สุดล้ำ

อยากยิง Email Marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มยอดขาย และสร้าง Brand Loyalty ใช่ไหม? บทความนี้ มีคำตอบ! เราได้รวบรวม 5 เครื่องมือ Email Marketing สุดล้ำ พร้อมเทคนิคการเลือกใช้ และกลยุทธ์การยิง Email แบบมือโปร มาให้คุณแล้ว!
spot_img

Related Articles

Popular Categories

spot_imgspot_img